ศาลหลักเมืองจังหวัดเพชรบูรณ์
ค่านิยมให้การตั้งเสาหลักเมืองนั้น
มีมานานตั้งแต่ครั้งโบราณกาลควบคู่ประวัติศาสตร์ชาติไทยซึ่งจะเป็นพิธีที่จะต้องกระทำในทุกแห่งที่มีการสร้างเมืองใหม่ขึ้นมาเพื่อเป็นศูนย์กลางยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้คนในพื้นที่นั้น
ๆ ให้เกิดความมั่นใจในความมั่นคงของการเป็นบ้านเป็นเมืองขึ้นมา
ดังนั้น เมื่อเราเดินทางไปเยือนเมืองใดหรือจังหวัดใด จะเห็นว่าแทบทุกแห่งจะต้องมีเสาหลักเมืองเป็นสถานที่สำคัญและเป็นที่สักการะขอพรของประชาชนในแต่ละแห่งด้วยความเคารพศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง
แม้ข้าราชการไม่ว่าระดับใด หากเดินทางไปรับราชการในพื้นที่นั้น ๆ
สถานที่แห่งแรกที่จะต้องไปสักการะก็คือ ศาลหลักเมืองนั่นเอง
เสาหลักเมืองเพชรบูรณ์ก็เช่นเดียวกัน
เป็นสิ่งที่เคารพสักการะและเป็นศูนย์รวมจิตใจชาวเพชรบูรณ์มาช้านาน
และตลอดเวลาที่ผ่านมา เราก็ได้รับทราบแต่เพียงว่า
เสาหลักเมืองเพชรบูรณ์นั้น มีลักษณะพิเศษคือเป็นศิลาหินทราย
โดยมิได้เป็นไม้อย่างเสาหลักเมืองของที่อื่น ๆ จนกระทั่ง
เมื่อปี พ.ศ. 2548 ผมซึ่งขณะนั้นเป็นนายกเทศมนตรีเมืองเพชรบูรณ์
ได้ทำการบูรณะปรับปรุงอาคารศาลหลักเมืองขึ้นมาใหม่ และได้ทำความสะอาดตัวเสาโดยลอกทองคำเปลวและเอาผ้าที่ห่อหุ้มเสาออกไป
จึงได้เห็นว่า
ตัวเสามีร่องรอยการจารึกเป็นตัวอักษรเห็นได้พอสมควรโดยเฉพาะด้านหลัง จึงนำไปสู่การขอให้กรมศิลปากรมาตรวจสอบ ซึ่งนักวิชาการด้านอักษรโบราณ
ได้มาตรวจสอบลอกลายเมื่อวันที่ 3-4 กันยายน 2548
และเป็นการค้นพบครั้งสำคัญ
เพราะพบว่ามีอักษรถูกจารึกอยู่บนหลักศิลานั้นทั้ง 4 ด้านและได้ถูกจารึกไว้นานมากแล้ว
เป็นศิลาจารึกที่เก่าแก่มากทีเดียว สร้างความปีติยินดีให้กับผู้เกี่ยวข้องทุกคน
เพราะหมายถึง
ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของเมืองเพชรบูรณ์กำลังจะถูกไขให้เกิดความกระจ่างมากกว่าที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้
เสาหลักเมืองเพชรบูรณ์
เป็นแท่งเสาหินทรายสีเทา มีลักษณะปลายป้านโค้งมน
มีความสูงจากฐานล่างถึงปลายยอด 184 เซนติเมตร กว้าง 30 เซนติเมตร ความหนาประมาณ 15-16 เซนติเมตร มีจารึกอักษรขอมทั้ง 4 ด้าน ปลายฐานด้านล่างสุดมีลักษณะแผ่ขยายออกคล้ายวงกลมแบน
ปัจจุบันนี้ กรมศิลปากรได้ทำการอ่านและแปลศิลาจารึกเสาหลักเมืองเพชรบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
โดยสรุปได้ความว่า เป็นการจารึกลงในเสาหินทรายสีเทาใน 2 ยุคด้วยกันคือ ครั้งแรกเป็นการจารึกในด้านที่ 1
เป็นอักษรขอมโบราณ ภาษาสันสกฤต มีข้อความ 22 บรรทัด
จารึกเมื่อมหาศักราช 943 ตรงกับพุทธศักราช 1564 เป็นข้อความการสรรเสริญพระศิวะในศาสนาพราหมณ์ ส่วนการจารึกครั้งที่
2 เป็นการจารึกใหม่ในด้านที่เหลือ 3 ด้านเมื่อจุลศักราช
878 ตรงกับพุทธศักราช 2059 เป็นอักษรขอม
ภาษาไทย บาลีและเขมร เป็นข้อความเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา
มีข้อความที่ให้ช่วยกันสืบสานพระพุทธศาสนาให้ได้ 5000 ปี
กระดาษลอกลายและสำเนาคำอ่านและคำแปลศิลาจารึกเสาหลักเมืองเพชรบูรณ์ดังกล่าว
สามารถชมได้ที่หอวัฒนธรรมนครบาลเพชรบูรณ์ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกันข้างกับศาลเจ้าพ่อหลังเมืองเพชรบูรณ์นั่นเอง
ในฐานะที่เป็นคนที่สนใจประวัติศาสตร์ของเมืองเพชรบูรณ์
เมื่อก่อนหน้านี้
ผมได้ร่วมกับนักวิชาการในจังหวัดได้พยายามให้ทีมงานศึกษาค้นคว้าวิจัยประวัติศาสตร์เมืองเพชรบูรณ์
ติดตามหาหลักศิลาจารึกเมืองเพชรบูรณ์
ที่ปรากฏหลักฐานในการบันทึกขึ้นทะเบียนโบราณวัตถุของกรมศิลปากรไว้
แต่ปัจจุบันกลับไม่พบศิลาจารึกหลักนี้ถูกเก็บรักษาไว้ที่ใด
ประกอบกับบันทึกของกรมศิลปากรเช่นเดียวกันได้บันทึกไว้ว่า เสาหลักเมืองเพชรบูรณ์นั้น
หลวงนิกรเกียรติคุณ ได้นำมาตั้งไว้เมื่อ พ.ศ. 2443 และยังมีบันทึกว่ามีการนำเอาเสาศิลาจากวัดมหาธาตุมาปักเป็นเสาหลักเมืองที่ป้อมกำแพงเมืองโบราณของเมืองเพชรบูรณ์ด้านหน้าศาลากลาง
ฉะนั้นจากบันทึกทั้ง 3 เรื่องดังกล่าว
และจากการสืบสาวเส้นทางตลอดจนคำบอกเล่า จนถึงการค้นพบครั้งนี้
ทำให้แน่ใจว่าเสาหลักเมืองเพชรบูรณ์
ที่ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางเมืองเพชรบูรณ์และเป็นที่เคารพสักการะของชาวเพชรบูรณ์
ที่แท้ก็คือหลักศิลาจารึกที่กำลังตามแกะรอยค้นหากันอยู่
จึงนำไปสู่การตรวจสอบกระทั่งเป็นผลสำเร็จตามข้อสันนิษฐาน
สิ่งที่ผมพอจะสันนิษฐานเพิ่มเติมเองได้จากการศึกษาบันทึกเอกสารต่าง
ๆ และผลคำอ่านคำแปลบนจารึกเสาหลักเมืองเพชรบูรณ์ ก็คือ
ศิลาจารึกนี้น่าจะทำการจารึกครั้งแรกที่เมืองเก่าศรีเทพ
เพราะระยะเวลาของการจารึกครั้งแรกนี้จะร่วมสมัยกันและเป็นการกล่าวถึงพระศิวะในศาสนาพราหมณ์อย่างที่พบเห็นในเมืองศรีเทพ
นอกจากนั้น
เนื้อหินทรายสีเทาของเสาหลักเมืองยังเป็นอย่างเดียวกันกับโบราณวัตถุต่าง ๆ
ที่พบในเมืองศรีเทพอีกด้วย หลังจากนั้น เมื่อพิจารณาจากปีที่มีการจารึกครั้งที่ 2
สันนิษฐานว่าศิลาจารึกหลักนี้น่าจะถูกเคลื่อนย้ายมาอยู่วัดมหาธาตุในสมัยสุโขทัย
แล้วจึงได้มีการจารึกเพิ่มเติมอีก 3 ด้านเป็นข้อความเกี่ยวกับศาสนาพุทธ
ซึ่งสอดคล้องกับช่วงเวลาและเหตุการณ์ตามประวัติศาสตร์ หลังจากนั้น
จึงได้มีการนำมาปักเป็นเสาหลักเมืองเพชรบูรณ์ที่ป้อมกำแพงเมืองหน้าศาลากลาง
ซึ่งก็อาจจะเป็นเมื่อ พ.ศ. 2443 ตามบันทึกของกรมศิลปากรก็เป็นได้
เพราะปรากฎรูปถ่ายที่ถ่ายไว้เมื่อ พ.ศ. 2447 ในคราวที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพฯ
ได้เสด็จมาตรวจราชการที่มณฑลเพชรบูรณ์
ก็มีรูปถ่ายศาลและเสาหลักเมืองเพชรบูรณ์ให้ได้เห็นอยู่แล้ว
อนึ่ง
ผมต้องขอทำความเข้าใจเรื่องประวัติความเป็นมาของเสาหลักเมืองเพชรบูรณ์เสียใหม่
กล่าวคือ
ตามประวัติเสาหลักเมืองเพชรบูรณ์ที่ได้มีการบันทึกกันอย่างเป็นทางการไว้ว่า
เป็นเสาหินที่
สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงนำมาจากเมืองศรีเทพนั้น น่าจะเป็นการคลาดเคลื่อน เพราะตามบันทึกของพระองค์ท่าน
ได้บันทึกไว้ว่าเสด็จเดินทางมาเพชรบูรณ์ทางบกผ่านจังหวัดพิจิตร
และเสด็จกลับจากเพชรบูรณ์ทางเรือ ผ่านไปค้นหาเมืองเก่าทีศรีเทพ
แล้วจึงกลับกรุงเทพ ฯ ฉะนั้น จึงคงไม่สามารถทรงนำเสาหลักเมืองย้อนกลับมาจากศรีเทพแล้วนำกลับมาไว้ที่เพชรบูรณ์ได้อีก
ในทางกลับกัน สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงนำเสาศิลารูปหัวตะปูที่ไปจากเมืองเก่าศรีเทพจริงและยังได้ทรงสันนิฐานไว้ว่าน่าจะเป็นเสาหลักเมืองศรีเทพด้วยนั้น
ปัจจุบันเสาดังกล่าวก็ยังคงเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติพระนครอยู่
ฉะนั้น ตามบันทึกประวัติอย่างเป็นทางการของเสาหลักเมืองเพชรบูรณ์ที่ว่า
เป็นเสาหินที่ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงนำมาจากเมืองศรีเทพนั้น
จึงน่าจะเป็นการบันทึกสับสน ไม่ถูกต้องและยังคงสืบทอดกันมาอย่างผิด ๆ จนทุกวันนี้
บทความนี้ เป็นเพียงข้อสันนิษฐานจากการศึกษาส่วนตัว มิได้มีวัตถุประสงค์ที่จะสรุปหรือยืนยันความถูกต้องชัดเจนแน่นอนถึงประวัติและที่มาของเสาหลักเมืองเพชรบูรณ์แต่อย่างใดไม่
แต่มีวัตถุประสงค์เป็นเพียงต้องการจะเล่าและบันทึกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่ได้เกิดขึ้นจริงในยุคนี้เอาไว้
เพื่อรอคอยหลักฐานเพิ่มเติมและการค้นพบใหม่ ๆ
ที่จะสามารถนำมาพิจารณาร่วมกับหลักฐานทางโบราณคดีในอดีต อันจะนำไปสู่การไขปริศนาสำคัญของเสาหลักเมืองเพชรบูรณ์ ซึ่งจะสามารถโยงมาถึงการสืบค้นประวัติเมืองเพชรบูรณ์เพิ่มเติมต่อไปในอนาคต